วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

เจ้าที่แรง...น้องตะวัน.avi

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินอย่างไรให้ปลอดภัย ไร้โรคา



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินอย่างไรให้ปลอดภัย ไร้โรคา


โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ดแบบทุกวันนี้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาจจะกำลังกลายเป็น อาหารประจำวันของใครหลายๆ คน เชื่อหรือไม่ คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีละกว่า 2 พันล้านซอง เฉลี่ยวันละ 8 ล้านซอง ปัญหาไม่ได้จบลงแค่นั้น ที่สำคัญก็คือคนไทยชอบกิน  เปล่าๆ แบบว่า ฉีกซองเครื่องปรุง กดน้ำร้อน ปิดฝาสองนาที ซวบ ซวบ จบ นานวันเข้าก็เกิดอาการ ขาดสารอาหาร อ้วน ความดันสูง ไตเสื่อม
            บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้งสาลี 60-70% ไขมันในเครื่องปรุง 15-20% ที่เหลือเป็นเกลือ และผงชูรส ถ้าเรารับประทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน เราก็จะได้โซเดียม (ก็เกลือนั้นแหละ) เกินความต้องการของร่างกายต่อวัน ไปถึง 50-100 % ซึ่งจะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบกับส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ถ้าคุณทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร่างกายก็จะได้รับแต่แป้งๆๆ สุดท้ายก็อ้วนนะสิ
           เอาข้อมูลมาจาระไนให้ฟังกันขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาชวนก่อม๊อบรณรงค์ ให้เลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประเด็นอยู่ตรงที่ไหนๆ ก็หนีไม่พ้น ก็หันมาใส่ใจ เลือกซื้อให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนซื้ออ่านฉลากสักนิด ว่าเติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ดีควรเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้งที่ทาน

            วิธีปรุงก็สำคัญไม่แพ้กัน หลายๆ คนยอมที่จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ด้วยความที่จะได้เส้นที่เหนียวนุ่มน่ากินกว่า แต่ชอบที่จะใช้น้ำในการต้มน้อยๆ (รสชาติจะได้เข้มข้น) ใส่เครื่องปรุงลงไปตั้งแต่ตอนต้มด้วย เครื่องปรุงจะได้เข้าเนื้อ (ว่าไปนั่น) แต่หารู้ไม่ว่า การต้มแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิดมหันต์ คุณจะได้รับโซเดียม ไปเต็มๆ ซึ่งข้อเสียได้บอกไปแล้ว และผงเครื่องปรุง ที่ใส่ลงไปเมื่อโดนความร้อนสูง จะแปรสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งส่งผลเสีย ต่อการทำงานของร่างกายอีกต่างหาก

            วิธีการต้มที่ถูกต้องคือ ต้มครั้งแรกด้วยปริมาณน้ำพอสมควร จากนั้นเทน้ำจากการต้มรอบแรกทิ้งไป ใส่น้ำลงไปใหม่ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ใส่ไข่ เนื้อสัตว์และผัก เทใส่ชามจากนั้นจึงค่อยเทเครื่องปรุงใส่ในชาม ซึ่งถ้าจะให้ดี คุณอาจใช้เครื่องปรุงเพียงครึ่งซอง หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรรับประทานแต่ บะหมี่สำเร็จรูปอย่างเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน สลับไปทานอาหารจานเดียวอย่างอื่นบ้าง อาจจะเป็น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารไทยมีให้เลือกกินตั้งมากมาย เพื่อสุขภาพในระยะยาว
 

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

“วาซาบิ” ป้องกันฟันผุ


วาซาบิป้องกันฟันผุ


ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารญี่ปุ่น ต้องรู้จัก วาซาบิ เครื่องปรุงรสเผ็ดฉุนกันเป็นอย่างดี ยิ่งถ้ากินมาก ก็ยิ่งจี๊ดจ๊าดขึ้นสมอง ใครเป็นหวัดคัดจมูกช่วยเปลี่ยนให้รู้สึกโล่ง หากแตะลองแค่ผิวๆ ก็ช่วยชูรสอร่อยอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสไตล์อาหารญี่ปุ่น
อันที่จริงแล้วในวาซาบิ มิได้มีเพียงรสจัดจ้าน เพราะมีสารไอโซทิโอไซนาเนตส์ ที่คอยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการทำฟันผุ นอกจากนี้ วาซาบิ ยังมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะเลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตัน ป้องกันโรคหอบหืด และลดเสี่ยงโรคมะเร็ง
การลิ้มรสวาซาบิอย่างนุ่มนวล อาจต้องนำไปเป็นส่วนผสมหนึ่งในเมนูซุปครีม สำหรับ ซุปครีมวาซาบิ” มีส่วนผสมดังต่อไปนี้
1.      กระเทียม 7 กลีบ
2.      หอมหัวใหญ่ 1/2 หัว
3.      มันฝรั่ง พอประมาณ
4.      หัวไชเท้า พอประมาณ
5.      แครอท พอประมาณ
6.      แรชดิช พอประมาณ
7.      น้ำมันมะกอก พอประมาณ
8.      นมสด 100 ซีซี
9.      วิปครีม 50 ซีซี
10. น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วย
11. วาซาบิ พอประมาณ
12. ต้นหอมซอย พอประมาณ

ขั้นตอนในการทำ 
สับกระเทียมและหอมหัวใหญ่ ส่วนมันฝรั่ง หัวไชเท้า แครอท แรชดิช ให้หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก กระเทียม แล้วเจียวให้หอมจึงใส่หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และ   หัวไชเท้า ต่อมาใส่นมสด ตามด้วยวิปครีม น้ำเปล่า พอน้ำเดือดให้ใส่แครอท แรชดิช ปรุงรสด้วยวาซาบิ เกลือ พริกไทย เมื่อส่วนผสมเริ่มสุกยกลง รอให้อุ่นจึงนำไปปั่นให้เนียนละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้ซุปครีมวาซาบิละมุนลิ้น สามารถเสิร์ฟในแก้วชอตในงานปาร์ตี้ หรือใส่ชามซุปอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานเป็นอาหารว่างก็ย่อมได้

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อาหาร กินอย่างไร ให้อายุยืน...

อาหาร กินอย่างไร ให้อายุยืน...


หลักสำคัญที่จะกินให้มีอายุยืนก็คือ ให้ทานอาหาร เพียงแต่วัน วันละน้อย ๆ โดยทั่วไปพบว่า คนที่มีอายุยืนยาวเกิน 100 ปี มักทานอาหาร ให้ได้พลังงานเพียงแค่วันละ 1400 - 1500 แคลอรี่เท่านั้น โดยในอาหาร 1 จาน ครึ่งหนึ่งควรเป็นผักผลไม้ ยิ่งสดยิ่งดี ไม่ต้องผ่านความร้อน ไม่ต้องต้มสุก (ต้องล้างสะอาด ปราศจากยาฆ่าแมลง) อีก 1 ใน 4 เป็นเนื้อสัตว์ (ไม่ติดมัน) เพื่อให้ได้โปรตีนไปเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีก 1 ใน 4 ค่อยเป็นอาหารประเภทแป้ง คาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ได้พลังงาน แต่ให้เลือกสภาพใกล้เคียงธรรมชาติให้มากที่สุด ประเภท ข้างกล้อง เผือกต้ม มันต้ม ย่อมดีกว่า ข้าวขัดขาว สปาเกตตี้ ก๋วยเตี๋ยว ที่แปลงรูปซะจนไม่รู้ต้นกำเนิดแล้ว
      วิธีการกินก็สำคัญค่ะ ให้ยึดหลักว่า "ตอนเช้ากินแบบพระราชา กลางวันกินแบบชาวบ้านทั่วไป ตกเย็นให้กินแบบยาจก "หมายความว่า ทานมื้อเช้าให้หนักเต็มที่ เพราะร่างกายเรา อดอาหารมาหลายชั่วโมงในช่วงนอนหลับ นับตั้งแต่อาหารมื้อเย็น เราอาจจะไม่ได้กินอะไรอีกเลย ท้องว่างไปเกือบ 12 ชั่วโมง มื้อเช้าควรเติมพลังงาน ให้เต็มเหมือนเติมน้ำมันให้เต็มถัง จะได้ขับเคลื่อน ต่อสู้กับความเครียด และทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงไปตลอดทั้งวัน ส่วนมื้อกลางวันก็เพียงแค่เติมพลังงานย่อยๆ แต่พอประมาณ รับประทานเหมือนคนปกติ ไม่ต้องมากมายอะไร มื้อเย็น อาจจะทานบ้างไม่ทานบ้างก็ได้ และไม่ควรรับประทานอาหารเสร็จ ก็ไปเข้านอนเลย เพราะเลือดส่วนใหญ่ยังไปเลี้ยงอยู่ที่กระเพาะอาหาร และทางเดินอาหาร เพื่อทำการย่อยดูดซึมอาหาร จึงทำให้เลือด ไม่ไหลเวียนไปสู่สมอง การนอนหลับจึงไม่เต็มอิ่ม หลับไม่สนิท ในขณะเดียวกัน เวลาที่เราหลับลึกๆ นั้น ร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเอง เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน สร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่า หากช่วงที่เรานอน เลือดกลับไปอยู่ที่ท้องแล้ว ร่างกายเราจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างไร เซลล์มันย่อมสึกหรอ ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆ ดังนั้น ควรรับประทานอาหารมื้อเย็นเบาๆ และทานให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนเวลาเข้านอนสัก 3-4 ชั่วโมง จะได้ไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ
คือตอนนี้รู้สึกว่าวิธีการกินของเราส่วนมากมันจะตีลังกา กับที่บอกมาอยู่นะค่ะ คือว่าตอนเช้าเวลารีบเร่ง มีอะไรก็หยอดใส่ท้องไปก่อน นมกล่อง กาแฟแก้ว กับขนมปัง (แบบยาจก) กลางวันพอจะมีเวลาขึ้นมาหน่อย ก็ทานแบบชาวบ้านๆ ค่ะ อาหารจานเดียว ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ตกเย็นหิวโซ โจ้กันเต็มที่ มีอะไรก็ยกมาเลยน้อง (แบบพระราชา) หนักกว่านั้น บางครั้งต่อมื้อดึกก่อนนอนอีกต่างหาก ... ใครเป็นแบบที่ว่าก็ลองหันมาพิจารณา ปรับสูตรการรับประทานอาหารกันใหม่ อายุอาจจะไม่ยืนถึงหมื่นปี แต่ก็จะได้อยู่แบบสุขภาพดี กันถ้วนหน้านะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฟันและสมุนไพร



ฟันและสมุนไพร

ยาสีพันในลักษณะบีบหลอดที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพิ่งเป็นที่นิยมใช้กันในระยะเวลาไม่น่าจะเกิน 50 ปีมานี้เอง ส่วนการบันทึกเรื่องการสีฟันนั้น มีมานานนับตั้งแต่สมัยฮิบโปเครติส (400ปีก่อนคริสต์กาล) โดยใช้เกลือแคลเซียมคาบอเนตในการขัดสีฟัน มีรายงานว่ายาสีฟันเมื่อ2000 ปีก่อนนั้น มีส่วนประกอบของปะการัง หินอ่อน ผงขี้เถ้าจากการเผาพืชหรือสัตว์ นำมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาสีฟัน ในยุโรปเองยาสีฟันแบบเดิมๆ ที่ทุกวันนี้ยังคงมีใช้กันอยู่ คือ เกลือแกง เกลือโซเดียมคาร์บอเนตหรือที่เรารู้จักกันในนามของผงฟู ผสมกับผงเขม่า นำส่วนผสมเหล่านี้มาบดให้ละเอียดใช้เป็นยาสีฟันแบบผง ในบ้านเราเอง มีการสีฟันด้วยเกลือแกง หรือเกลือแกงบดรวมกับสารส้ม และยังมีการใช้พืชพรรณบางชนิดมาใช้สีฟัน พืชพรรณที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในเมืองไทยเห็นจะไม่พ้นข่อย กล่าวกันว่า การใช้กิ่งข่อยสีฟันมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล โดยใช้กิ่งข่อยที่ทุบให้แตกตอนปลายๆ นำมาสีฟันเป็นทั้งยาสีฟันและแปรงสีฟัน เวลาแปรงก็จะเคี้ยวเนื้อไม้ไปด้วย
ส่วนพรรณไม้ที่นิยมใช้อีกชนิดหนึ่ง คือ สีฟันคนทาซึ่งใช้กิ่งไม้ทำยาสีฟันเช่นเดียวกับข่อย และยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่มีการใช้รักษาโรคเหงือกและฟัน

ยาสีฟันที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนประกอบสำคัญก็ยังคงเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต หรือเกลือแคลเซียม เกลืออลูมิเนียม ตัวอื่นที่มีหน้าที่ขัดฟัน และยังประกอบด้วยสารทำความสะอาด ที่นิยมใช้คือ โซเดียมลอริลซัลเฟต ที่มีความสามารถในการทำความสะอาดได้ดีกว่าสบู่ โดยใช้ในการปริมาณที่น้อยไม่เกิน 2% เพื่อขจัดคราบและเศษอาหารในปากและฟัน นอกจากนั้นยังมีสารเพิ่มความหนืด สารเพิ่มความชุ่มชื้น สารแต่งรส สารกันบูด

หลักการของยาสีฟันที่มีขายในท้องตลาดในขณะนี้ คือ การทำความสะอาด และการขัดคราบที่ติดฟันอยู่ ปัจจุบันมียาสีฟันมากมายหลายยี่ห้อในท้องตลาด ทั้งของภายในประเทศและต่างประเทศ มีการผสมสมุนไพรใส่ลงไปในยาสีฟัน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค สมุนไพรที่มีฤทธิ์ดับกลิ่นปาก สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ สมุนไพรที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทั้งนี้เพื่อยับยั้งเชื้อจุลลินทรีย์ในช่องปาก ช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ ช่วยทำให้เหงือกแข็งแรง เป็นต้น สมุนไพรที่นิยมใช้กัน ได้แก่

เปลือกมังคุด คนยุคก่อนมีการใช้เปลือกมังคุดในการต้ม อมบ้วนปากแก้ปวดฟัน แก้เหงือกอักเสบ แก้เหงือกบวม แก้แผลในปาก ปัจจุบันมีการค้นคว้าศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของเปลือกมังคุดมากมาย พบว่าสารสกัดจากเปลือกมังคุด มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด มีฤทธิ์รักษาแผล มีฤทธิ์ลดการอักเสบ มีฤทธิ์ฝาดสมาน การผสมเปลือกมังคุดไปในยาสีฟัน จึงได้ประโยชน์หลายอย่าง ทั้งการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในปาก และลดการอักเสบของเหงือก และรสฝาดทำให้เหงือกแข็งแรง

ใบฝรั่ง ใบฝรั่งเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กับโรคเหงือกและฟัน โดยนิยมเคี้ยวใบฝรั่ง เพื่อดับกลิ่นสุราในปาก ใช้เคี้ยวดับกลิ่นปาก ใช้ใบฝรั่งต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย อมแก้ปวดฟัน ปัจจุบันจากการศึกษาวิจัยพบว่า ใบฝรั่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด มีฤทธิ์ลดการอักเสบของเหงือก มีฤทธิ์พล๊าคที่จับเป็นคราบที่ฟัน การใช้ใบฝรั่งผสมลงไปในยาสีฟันจึงมีประโยชน์ตามที่กล่าวมาแล้ว

ใบพลู ใบพลูเป็นสมุนไพรที่คนไทยโบราณใช้เคี้ยวกินกับหมาก ด้วยเชื่อว่าจะรักษาปากฟันไม่ให้เป็นโรค แก้แมงกินฟัน มีการวิจัยพบว่าใบพลูมีฤทธิ์ที่สนับสนุนการใช้ดังกล่าวมากมาย เช่น มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียและราได้หลายชนิด มีฤทธิ์ระงับการเกิดแผ่นฝ้าที่แก้มด้านในลิ้นและเหงือก มีฤทธิ์เร่งการสมานแผล และยังมีน้ำมันหอมระเหยช่วยให้กลิ่นปากหอมสดชื่น ใบพลูจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสมที่จะผสมลงไปในยาสีฟัน

นอกจากสมุนไพรที่กล่าวมาแล้ว สมุนไพรที่นิยมนำมาผสมลงไปในยาสีฟันได้แก่ ขิง เปลือกทับทิม ใบข่อย กระชาย ชะเอมไทย เนียมหูเสือ ว่านหางจระเข้ สีเสียดเหนือ แก่นลั่นทม เป็นต้น สมุนไพรที่ส่วนใหญ่ผสมลงไปล้วนแล้วแต่ต้องการฤทธิ์ตามที่ได้กล่าวมา คือ ฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ฤทธิ์ลดการอักเสบ ฤทธิ์ฝาดสมานช่วยทำให้เหงือกแข็งแรงและช่วยรักษาแผล

คนทั่วไปนั้นสามารถที่จะทำยาสีฟันใช้ได้เอง จากการใช้เกลือแกงผสมผงฟู หรือผสมสารส้มสีฟัน โดยไม่ต้องใช้ยาสีฟันจากหลอด ก็ไม่มีใครว่าถ้าขยันหน่อยอาจจะไปหาสมุนไพรที่ตัวเองชอบ มาตากแห้งบดเป็นผงผสมลงไปด้วย เติมพิมเสน การบูรให้สดชื่นสบายใจลงไปด้วยก็ดีอย่างที่รู้ๆ กันองค์ประกอบของยาสีฟันคือผงขัดกับสารซักฟอก เราก็เพียงแปรงฟันให้นานหน่อย แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร แต่ถ้าใครที่อยากใช้ยาสีฟันสมุนไพรก็หาซื้อได้มากมายหลายยี่ห้อ

คนไทยนั้นรู้จักนำพืชพรรณธรรมชาติมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันมาแต่โบราณ การสืบสานวิธีใช้ประโยชน์เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนพันธกิจของพวกเราทุกคนในยุค "คิดใหม่ ทำใหม่"

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สวยด้วยธรรมชาติ

เคยสงสัยไหมคะว่า ผู้หญิงสมัยก่อนหรือแม้แต่สมัยอียิปต์โบราณ ถึงมีตำนานความงดงามทั้งๆ ที่ไม่มีเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณสารพัดยี่ห้ออย่างทุกวันนี้ เราลองกลับไปสู่เคล็ดลับความงามสมัยโบราณ มารู้จักการบำรุงความงาม โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติกันดีกว่าค่ะ นอกจากจะไม่มีสารเคมีตกค้างแล้ว ยังประหยัด ได้มากด้วยนะจ้ะ ว่าแล้วลองเข้าครัวกันเล้ย..ยย ว่าเจออะไรบ้าง
ผักและผลไม้
  • แตงกวา
    ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวชั้นใน โดยขูดแตงกวา ทาบนขาที่เพิ่งโกนขนออกไปใหม่ๆ หรือ
    ถ้าทำเป็นมาสก์พอกหน้าก็จะให้ความเย็นสดชื่น ใช้บริเวณเปลือกตาด้วยก็ได้
  • มะนาว
    ถ้าผมสีอ่อนจาง ใช้มะนาวเข้มข้นชะโลม แล้วผึ่งแดดซักพัก และยังสามารถใช้ได้ดีกับหัวเข่า ข่อศอกที่ดำคล้ำ กร้าน และแตกแห้ง
  • มะละกอ
    บดและใช้พอกหน้าจะช่วยให้เนื้อเยื่อเก่าๆ ลอกหลุดออกได้อย่างแผ่วเบา
  • น้ำกะทิ
    ช่วยบำรุงและทำให้ผมอ่อนนุ่ม เปลือกมะพร้าวสามารถใช้ขัดเบาๆ ที่ส้นเท้าหรือข้อศอกที่
    หยาบกร้านและแตกระแหงได้
  • กีวี
    อุดมด้วยวิตามินซี จึงช่วยในการปรับสภาพผิวและให้ความชุ่มชื่น
  • อะโวคาโด
    ช่วยบำรุงผิวด้วยวิตามินเอ ดี และอี แถมยังอุดมไปด้วยโปรตีน
  • น้ำส้มสายชู
    ช่วยเพิ่มประกายเงางามให้เส้นผม
  • น้ำมันมะกอก
    สามารถใช้เป็นครีมปรับสภาพผม โดยใช้ทาปลายผม และพันด้วยผ้าเช็ดตัวชุบน้ำร้อน
    และค่อยสระออก หรือจะใช้น้ำมันมะกอกผสมน้ำตาล เป็นครีมขัดหน้าอ่อนเบา
    หรือผสมกับมันต้มใช้รักษามือที่แตกแห้งได้

เครื่องปรุงและของแห้ง
  • เกลือและเกลือทะเล
    มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อ ใช้กลั้วคอรักษาแผลในปาก และอาการเจ็บคอ เกล็ดเกลือทะเลใช้ ขัดส้นเท้าที่แตกระแหงได้
  • กาแฟบด
    ช่วยกระตุ้นเซลล์ไขมัน และยังใช้ขัดผิวได้เช่นกัน
  • ชาเขียว
    ใช้บ้วนปากหลังอาหาร ช่วยป้องกันฟันผุ หรือใช้ถุงชาที่ชงแล้ว วางลงบนเปลือกตา เพื่อผ่อนคลาย และใช้สำหรับช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย
  • ถั่วแขก
    ดีต่อระบบลำไส้
  • ข้าว น้ำตาล ข้าวโอ๊ต ฟักทอง งา
    ใช้ขัดผิว โดยเลือกเมล็ดเหล่านี้มาซักสองอย่างหรือมากกว่า ผสมให้เข้ากันด้วยสบู่
  • ซอสมะเขือเทศ
    ใช้ดับกลิ่นเท้า ด้วยวิธีถูที่เท้า 10 นาที แล้วล้างออก
  • มายองเนสไข่
    ทาบางๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยปรับสภาพผมและผิวหน้า

อื่นๆ ที่หาได้
  • โยเกิร์ต
    เติมอัลมอนต์บดลงไปเล็กน้อย ใช้สำหรับขัดผิว ช่วยให้ผ่อนคลายและให้ความชุ่มชื่น
  • เนย
    ให้ความชุ่มชื่นกับผิวที่แห้งกร้าน และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
  • ขนมปัง
    เกล็ดขนมปังปิ้ง นำมาใช้ขัดฟันให้ขาวได้
  • ถั่วเหลือง
    โปรตีนที่ได้จากถั่วเหลืองให้ความชุ่มชื่น โดยปราศจากความมัน
  • เบียร์ เบียร์ดำ ว้อดก้า บรั่นดี
    ใส่เพียงไม่กี่หยดในการล้างผมน้ำสุดท้าย ช่วยทำให้ผมนุ่มและเงางาม
    อย่าเผลอดื่มแทนแล้วกันจ้า
          

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มหัศจรรย์แห่ง...มะเขือเทศ

มหัศจรรย์แห่ง...มะเขือเทศ

มะเขือเทศ ผลสีแดงๆ นี้ น่าจะจัดอยู่ในจำพวกผลไม้ เพราะมันเป็นผลของต้นไม้ แต่ในความเป็นจริงเรานิยมจัดมะเขือเทศไว้ในจำพวกผักมากกว่า มีใครบ้างมั้ยที่ไม่รู้จักมะเขือเทศ มะเขือเทศมีชื่อเรียกหลายชื่อ คนเหนือจะเรียกว่า "มะเขือส้ม" ส่วนคนอีสานเรียกว่า "มะเขือเครือ"

มะเขือเทศสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งในแบบผัดผัก ข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ซุปทั้งใสและข้น ยำต่างๆ รวมไปถึงส้มตำ อาหารอันโอชะของใครต่อใครหลายคนก็เหมือนจะขาดมะเขือเทศไม่ได้ เพราะนอกจากจะสร้างสีสันแล้วยังเพิ่มรสชาติให้อีกด้วย หากจะนำมาคั้นเป็นน้ำมะเขือเทศดื่มก็ชุ่มคอชื่นใจดี หรือทำเป็นซอสมาปรุงรสอาหารก็ได้ ในผลของมะเขือเทศนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จำนวนมาก

มะเขือเทศช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระตุ้นน้ำย่อย ช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยการระบายการขับถ่ายให้สะดวกขึ้นอีกด้วย และมีการวิจัยกันว่าการดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งของต่อมลูกหมากที่คุณผู้ชายกลัวนักกลัวหนา

นอกจากวิตามินซี ที่มีสูงในมะเขือเทศแล้ว วิตามินอื่นๆ ก็มีอยู่ครบทุกชนิด แถมเปลือกนอกของมะเขือเทศยังมีสารชนิดเดียวกับที่พบในเปลือกองุ่นแดงที่เชื่อว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมะเขือเทศนอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีประโยชน์ต่อคุณผู้หญิงอีกด้วย ถ้าคุณเป็นคนรักสวยรักงาม กลัวรอยเหี่ยวย่นจะมาเยือนเร็วเกินไป ลองนำมะเขือเทศสุกมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้ววางแปะไว้บนหน้า หรือใช้น้ำมะเขือเทศคั้นสดๆ ทาตามใบหน้า เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวเต่งตึง มีน้ำมีนวลขึ้น

ไม่เพียงแค่นั้นเมล็ดของมะเขือเทศยังเอามาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ได้ หรือนำมาสกัดเอาน้ำมันเพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ อุตสาหกรรมสี และกากที่เหลือยังใช้เลี้ยงสัตว์กับเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย

เห็นคุณประโยชน์ของมะเขือเทศมากมายขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้เรียกว่าเป็น
ผักมหัศจรรย์ได้อย่างไร